3269 จำนวนผู้เข้าชม |
นั่งเล่นโทรศัพท์แปปๆ ก็จะสิ้นปีแล้ว สถานที่ท่องเที่ยวที่เราลิสต์ๆไว้ว่าอยากจะไปเที่ยวนั่นนี่ตอนต้นปี ตัดภาพมาตอนนี้ยังนั่งทำงานอยู่เลย การท่องเที่ยวสำหรับใครบ้างคนคือการเติมพลัง เติมไฟในตัวเองนั่นแหละ หลังจากเที่ยวก็คงมีแรงอยากทำงานเก็บเงินไปเที่ยวอีกในปีต่อๆไป
ถ้าใครที่อยากเดินทางไปในประเทศที่ชิคๆ budget ไม่มากนัก ต้องมาที่ “ตุรกี” เป็นทางเลือกที่ดีไม่ใช่น้อย เพราะบรรยาศที่นี้ดีต่อใจมาก อากาศก็เย็นสบาย แถมมีที่เที่ยวให้เที่ยวอีกมากมายเลย นอกจากที่เที่ยวจะสวยแล้ว ยังมีรูปให้ลงรัวๆยันปีหน้าอีกด้วย
ตุรกีดินแดนในฝัน ที่สวยเหมือนอยู่บนสววรค์ เป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ที่อยากจะลองไปสัมผัสสักครั้ง
รู้ก่อนไปตุรกี!!!
- ตุรกีไม่ต้องทำวีซ่า ใช้แค่พาสสปอร์ตอย่างเดียว จบ!
- เวลาที่ตุรกีห่างจากไทย 5 ชั่วโมง
- ค่าครองชีพก็ไม่แพง ใช้จ่ายเพลินเลยทีเดียว
- ค่าเงินของตุรกี คือ “ลีร่า” (TRY) โดย 1 ลารี ก็ประมาณ 5 บาทไทย
- เรื่องภาษาไม่ต้อง Worry ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะใช้ภาษาตุรกีเป็นหลัก แต่ในเมืองท่องเที่ยว เค้าพูดอังกฤษได้คล่องมากค่ะ
- ส่วนใหญ่ผู้คนถือศาสนาอิสลาม เพราะงั้นอยู่ที่นี่ก็งดหมูหน่อยน้า
การเดินทางในตุรกี
จริงๆแล้วการเดินทางในตุรกี ก็มีระบบขนส่งสาธารณให้บริการพร้อม ทั้งรถไฟใต้ดิน รถบัส รถประจำทาง ป้ายละประมาณ ₺2 (ประมาณ 10 บาท )แท๊กซี่ รถราง ใครที่ budget เยอะหน่อยสามารถนั่งเครื่อง เปลี่ยนเมืองเอาก้ได้ เพราะค่าเครื่องภายในประเทศ ก็ราคาไม่แพง ใครที่อยากประหยัดเวลาก็นั่ งเครื่องโล้ดดด
แต่ในทริปนี้เราเลือกการเช่ารถ ค่าเช่าเริ่มต้นก็ประมาณ 500 กว่าบาท
เหตุผลที่เราเลือกเช่ารถเพราะเราเที่ยวหลายเมืองและในแต่ละเมืองระยะทางก็ไกลมาก เพราะงั้นเช่ารถจะคุ้มที่สุดสำหรับเรา
ไปตุรกีต้องกินอะไร?
เคบัน หรือภาษาตุรกีแบบเต็มๆจะเรียกว่า ดอนแนร์เคบับ (Doner Kebap) จริงๆเคบับ แปลว่าปิ้งย่าง เป็นการนำเนื้อสัตว์อย่าง เนื้อวัว ไก่ แกะ และแพะ มาแล่เป็นชิ้นบางๆ แล้วเสียบไม้เป็นชั้นๆ จนแน่นเป็นเนื้อก้อนใหญ่ๆ ตั้งไฟร้อนๆ หมุนตลอดเวลา ส่วนใหญ่มักจะกินกับขนมปังแผ่นหรือแผ่นแป้งพร้อมผักสด เป็นเมนูที่ทั่วทั้งโลกรู้จ ักกันดี ขนาดในไทยยังมีขายเลย
และไอติมที่เป็น viral video กันทั่วโซเชียล
หลาย ๆคนคงเคยเห็นพ่อค้าหน้าคมๆ ที่ตักไอติมหนืดๆ ตักเท่าไหร่ก็ไม่หลุด ไม่ปล่อย เรียกเสียงหัวเราะมากมายทั่ วทั้งโซเชียล ซึ่งนั่นก็คือไอติมตุรกีนั่นเอง มีหลายรสชาติ อย่างช๊อกโกแลต วนิลา มะนาว มิ้นท์ มากน้อยตามขนาดของร้าน สามารถซื้อได้ทั่วทั้งตุรกีเลย
ไปตุรกีตอนไหนดี?
ตุรกีควรไปในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และต้นฤดูร้อน (เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน) เป็นช่วงที่อากาศเย็นสบาย ไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป แต่งตัวได้สบายๆเลยยย
การเดินทางจากไทยไปตุรกียังไง?
ถ้าบินตรงโดยสารการบิน Turkish Airline ราคาสูงหน่อย ประมาณสองหมื่นกว่าบาท ถ้าไม่ซีเรียสก็มีแบบเปลี่ยนคืน ราคาจะถูกลงมา
โดยแพลนการเดินทาง
DAY 1 Istanbul
DAY 2 Kusadasi - Pamukkale
DAY 3 Pamukkale - Cappadocia
DAY 4 Cappadocia - Goreme
DAY 5 Istanbul
DAY 6 Istanbul - BKK
รายละเอียดการเดินทางจะอยู่ ด้านล่างนะคะ ตามมาเที่ยวด้วยกันได้เลย
Day 1 Bangkok - Istanbul
เริ่มต้นเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยสายการบินอตาเติร์ก (Ataturk Airport) โดยเราจะลงที่เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง โดยค่าเครื่องจะประมาณสองหมื่นกว่าบาท
เมืองอิสตันบูล เป็นเมืองหลวงของตุรกี และยังเป็นเมืองที่มีประชากรเยอะที่สุด เมืองนี้เป็นเมืองสำคัญเมืองเดียวที่ตั้งอยู่ระหว่างสองทวีป คือทวีปยยุโรป (ฝั่งThrace ของบอสฟอรัส) ส่วนทวีปเอเชีย (ฝั่งอนาโตเลีย)
คืนแรก เข้าพักที่เมืองอิสตันบูล
Day 2 Kusadasi - Pamukka
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เราเดินทางไปทานอาหารที่ห้องอาหารของโรงแรม
จากนั่นพร้อมลุยเดินทางไปที่เมือง คูซาดาซี (Kusadasi) ใช้เวลาเดินทาง 5 ชั่วโมงครึ่ง เพื่อไปที่เมืองโบราณเอฟฟิซุส (City of Ephesus) เป็นเมืองที่ถูกเก็บรักษาไว้ดีมากๆ บรรยากาศรอบเมืองโบราณนี้ เป็นถนนหินอ่อนตัดผ่านใจกลางเมืองเก่า เต็มไปด้วยซากสิ่งก่อสร้างเมื่อ 2,000 ปีที่แล้วเลยค่ะ ทั้งโรงละครเก่า ห้องอาบน้ำโบราณ และหอสมุดเซลซุส (Library of Celsus) อลังการสุดๆ แนะนำว่ามาที่นี่เคลียเมมกล้องให้โล่ง แต่งตัวให้ชิคที่สุด เพื่อนๆจะมีรูปถ่ายแบบอาร์ทๆอีกเพียบ
มาต่อที่ บ้านพระแม่มารี (House of Virgin Marry) เป็นสถานที่ที่เชื่อกันว่าเป็นสถานที่สุดท้ายที่พระแม่มารีมาอาศัยอยู่และสิ้นพระชนม์ในบ้านหลังนี้ บ้านที่ได้รับการบูรณะนี้เป็นบ้านอิฐชั้นเดียวมี 2 ห้อง ภายในมีรูปปั้นของพระแม่มารี ว่ากันว่าพระสันตปาปา โป๊ปเบเนดิกส์ที่ 16 เคยเสด็จเยือนที่นี่ด้วย เราสามารถเข้าไปจุดเทียนอธิษฐานได้ แต่ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพที่ด้านใน
ด้านนอกเราจะเห็นกำแพงเป็นช่องๆมีก๊อกน้ำอยู่หลายก๊อก เชื่อว่าเป็นก๊อกน้ำที่มีความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องสุขภาพ ความร่ำรวย และความรัก คนก็นิยมมาเปิดดื่มกันค่ะ ใกล้ๆกันจะเป็น Wishing Wall หรือกำแพงอธิษฐาน เราสามารถเขียนคำอธิษฐานของ เราใส่กระดาษหรือผ้าแล้วนำไปผูกไว้ได้ ค่าเข้าจะอยู่ท่านละ 35 TRY หรือเงินไทยประมาณ 180 บาทค่ะ
พักเติมพลังกันก่อนที่อาหารพื้นเมือง
ตรงดิ่งไปที่เมืองปามุคคาเล่ (Pamukkale) เดินทางประมาณ 3 ชม.
คำว่า Pamukkale แปลว่าปราสาทปุยฝ้าย หรือ Cotton Castle (ชื่อฟังดูน่ารักเว่อร์) ด้วยตัวชั้นหินปูนสีขาวที่ดูปุกปุย เหมือนปุยฝ้าย บริเวณนี้ เคยเป็นเหมือนหมู่บ้านที่ดังในเรื่องของการแช่น้ำแร่ Thermal bath เพื่อผ่อนคลายและรักษาโรคมากก่อน ในบริเวณหมู่บ้านเราก็จะยังเห็นซากปรักหักพังที่เคยเป็นถนน วิหาร รวมไปถึงตัวโรงละคร Hierapolis เป็นโรงละครที่มีเวทีสมบูรณ์มากๆ
คืนนี้เราเลือกที่พักที่เมือง ปามุคคาเล่ Pamukkale
Day 3 Pamukkale - Cappadocia
วันนี้เราต้องตื่นเช้า เตรียมเสื้อผ้าหน้าผมให้พร้อม เพราะเราจะไปปราสาทปุยฝ้ายกัน อย่างที่บอกไปตอนแรกว่าเมืองปามุคคาเล่เป็นเมืองแห่งน้ำพุเกลือแร่ เป็นหน้าผาสีขาวอันงดงามและกว้างใหญ่ มองดูเหมือนสร้างจากหิมะ ปุยเมฆ หรือปุยฝ้ายสีขาว ดูนุ่มๆ น้ำแร่ที่ไหลมาในแต่ละชั้นจะแข็งเป็นหินย้อยรูปร่างต่างๆ
นอกจากที่นี่จะสวยเว่อร์วังแล้ว ที่นี่ยังมีตำนานว่ามีหญิงสาวหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ ถูกผู้ชายรังเกียจและไม่มีชายใดอยากหมายปองที่จะแต่งงานด้วย ทำให้เทอน้อยใจอยากตาย กระโดดมาที่ผาหินแห่งนี้ แต่เกิดปฏิหารย์ขึ้นเธอไม่ตาย แถมยังมีหน้าตางดงามจนไปถูกใจของท่านลอร์ดแห่งเมืองเดนิซลีอีกด้วย สุดท้ายทั้งคู่แต่งงานกัน จากที่มีตำนานเล่าต่อๆกันมา ทำให้คนเชื่อว่าการแช่น้ำพุร้อนที่นี่จะช่วงบำรุงผิวและบำบัดโรค บรรยากาศที่นี่ฟินสุดๆไปเลยแก
ทริคเล็กๆน้อยๆ : ปราสาทแห่งนี้ต้องมาเช้าๆ สักประมาณ 6.30 น. ช่วงเวลานี้คนจะน้อยมากจะทำ ให้ได้ภาพสวยๆ และยิ่งถ้าช่วงพระอาทิตย์กำ ลังขึ้น ทำให้ท้องฟ้าเป็นสีส้มและมี ฉากหลังเป็นบอลลูน ยิ่งสวยกว่าเดิมอีกค่ะ และถ้ายิ่งมาในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูใบไม้ผลิจะดีมาก เพราะน้ำจะเต็มทุกบ่อแล้วก็ไม่ร้อนมากไม่หนาวเกินไปค่ะ
ถ่ายรูปจนเหนื่อยก็พักกินข้าวกันก่อนเดินทาง ไปที่เมืองโบราณเฮียราโพลิส (Hierapolis) มีอายุมากประมาณ 2200 ปี ถูกสร้างมาก่อนคริตกาลซะอีก นีโครโพลิส ย่านที่เหมือนสุสานเต็มไปด้ วยโลงศพหินเรียงรายกว่า 1,200 โลง มีถนนสายกลางที่พาดผ่านเมืองที่สองฟากฝั่งเป็นซากปรักหักพัง แต่ก็ยังพอเห็นเค้าโครงของความเป็นเมืองอยู่บ้าง ภายในเมืองโบราณมีสถานที่น่าสนใจ เช่น โรงอาบน้ำ วิหาร โบสถ์ ป้อมปราการ และยังมีโรงละครที่สภาพสมบูรณ์ที่สุด อย่าง Hierapolis Theater
พักก่อน เดินทางไปที่ คัปปาโดเกีย (Cappadocia) ใช้เวลาเดินทาง 8 ชั่วโมงค่ะ นั่งรถกันยาวๆไปเลยค่ะ โอ้ยย ไกลจริงอะไรจริง เมืองนี้เป็นเมืองมรดกโลก เมืองที่มีลักษณะภูมิประเทศที่สวยมาก เต็มไปด้วยหินยักษ์สารพัดรูปทรง ที่เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติมานับล้านปี
ถ้ามาตุรกีแล้วไม่ได้ขึ้นบอลลูนถือว่ามาไม่ถึงเราจึงจัดการดิลกับบริษัททัวร์เรื่องบอลลูน ราคาตกคนละ 7,200 บาท
ราคาเอาเรื่องอยู่นะ แต่ก็ลองเทียบราคาจากที่อื่นดูก่อน
เข้าพัก ณ โรงแรม Gamirasu Cave hotel โรงแรมนี้เป็นโรงแรมถ้ำเลิศ ๆ ต้องบอกเลยว่าดีมากกก ประทับใจตั้งแต่ก้าวแรกที่เดิมเข้าไปในโรงแรมเลย แถมยังมีมุมถ่ายรูปอีกเพียบ
Day 4 Cappadocia - Goreme
ได้เวลาขึ้นบอลลูนแล้วววววว
ประมาณตี 5.30 น. รถทัวร์ก็จะมารับหน้าโรงแรม เพื่อไปส่งที่จุดขึ้นบอลลูน
**บอลลูนไม่ได้ลอยทุกวันนะคะ ถ้าวันไหนสภาพอากาศไม่ดี ลมแรงเกิน 10km/hr หรือฝนตก/หิมะตก จะไม่ขึ้นบินค่า
ขี้นไปด้านบนวิวจะสวยประมาณนี้ เหมือนอยู่บนสวรรค์เลย ฟินมากๆเลยค่ะ
พอลงมาจากบอลลูนก็จะมีการดื่มแชมเปญด้วยนะ
ไปต่อที่ นครใต้ดินชาดัค (Cardak Underground City) ที่นี่เคยเป็นที่หลบภัยมาก่อน เป็นนครใต้ดินที่ใหญ่ที่สุด ภายในมีสิ่งอำนวยความสะดวกพ ร้อมมาก ทั้งห้องอาหาร ห้องน้ำ ห้องนอน ห้องครัว ที่เก็บอาหาร โบสถ์ และอื่นๆอีกมากมาย เพื่อนๆสามารถเข้าชมได้ช่วง ฤดูร้อนเปิดเวลา 8.00 – 19.00 น. ส่วนช่วงฤดูหนาวจะเปิดเวลา 8.00 – 17.00 น. ค่าเข้าชม 42 TL หรือเงินไทยก็ประมาณ 215 บาทค่ะ
พักกินข้าวกันก่อนเดินทางไปที่เมือง เกอเรเม (Goreme) ใช้เวลาเดินทางแค่ 1 ชั่วโมงเอง
จากนั่นเราไปเช็คอินต่อที่พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง (Goreme Open-Air Museum) เป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์ จุดเด่นของที่นี่คือการเจาะ ถ้ำหินหลายๆลูก และสร้างเป็นโบสถ์ ภายในถ้ำจะถูกออกแบบให้ผนัง สูง โค้ง ตกแต่งด้วยรูปปั้นจิตกรรมฝา ผนัง ทาสีแดง ลักษณะแบบโบสถ์เซนต์บาร์บาร า ส่วนของกำแพงโบสถ์นั้นก็จะถูกเจาะตามรูปทางเรขาคณิต ถ้ามองจากด้านนอกนึกว่าอยู่ในยุคหินเลย พิธภัณฑ์สามารถมาเยี่ยมชมได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 8.00 – 19.00 น. ค่าเข้าชม 54 TL หรือ ประมาณ 275 บาทค่ะ
แวะถ่ายรูปที่ Galerie İkman สักหน่อย ที่นี่เป็นร้านพรมที่โด่งดังในไอจี สายถ่ายรูปแบบเราๆ ห้ามพลาดเด็ดขาด นอกจากร้านแห่งนี้จะมีพรมแล้วยังเต็มไปด้วยของแฮนด์เมดมากมาย เราเชื่อว่าแต่ก่อนก็คงเป็นร้านขายพรมที่จัดร้านได้สวยมากๆนั่นแหละ แต่ทุกวันนี้นอกจากจะเป็นร้านขายพรมแล้ว ยังเป็นแกลอรี่เก็บเงินค่าถ่ายรูปในร้านคือรวยกว่าา 5555 ค่าถ่ายรูปตกคนละ 50 TL เป็นเงินไทยก็ 250 บาทค่ะ แต่จริงๆแล้วเค้าไม่มีเรทราคา คิดเอาดื้อๆนั่นแหละ แต่ร้านเค้าสวยจริงต้องยอมจ่าย
เดินทางกลับมาที่เมืองหลวงอีกครั้งใช้เวลาเดินทาง 5 ชั่วโมง
คืนที่ห้า เราพักที่เมือง อิสตันบูล
Day 5 Istanbul
วันนี้เราจะ All Day trip in Istanbui
วันนี้เราไปล่องเรือกันนนนนนน!
เรามาล่องเรือชมช่องแคบบอสฟ อรัส (Bosphorus Cruise) นั่งเรือที่นี่รู้สึกเพลินม าก วิวทิวทัศน์คือดีย์ และความสวยงามในสถาปัตยกรรมของคฤหาสน์บ้านเรือน ทั้งสไตล์ออตโตมันและสไตล์ยุโรป และยังได้ผ่านสถานที่สำคัญๆ ในอิสตันบูลอีกด้วย เช่น หอคอยกาลาตา (Galata Kulesi), พระราชวังโดลมาบาเช (Dolmabahçe Sarayi) และ Bosphorus Bridge
เราเลือกล่องเรือแบบ Full Bosphorus Cruise ใช้เวลาประมาณ 5 ขั่วโมง ชมวิวแบบจุกๆกันไปเลย ราคาอยู่ที่คนละ 2,000 บาท ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https:// www.getyourguide.com/ istanbul-l56/
หลังจากล่องเรือแบบจุกๆมาแล้ว มาละลายทรัพย์กันต่อที่ ตลาดแกรนด์บาซาร์ (Grand Bazaar) เป็นตลาดสุดฮอตในตุรกีเลยก็ว่าได้ เป็นตลาดที่ขึ้นชื่อว่าต้อง หลง5555 เพราะมันใหญ่มากจริงๆ แถมยังเป็นตลาดที่เก่าแก่ในตุรกีอีกด้วย ที่นี่เต็มไปด้วยร้านขายของมากมาย เช่น เครื่องประดับเงิน, ทองและเทอร์คอยส์, ไข่มุก, เหรียญเก่า, เครื่องปั้นดินเผาที่ทำด้วยมือ พรม และงานเย็บปักถักร้อย, นาฬิกา, เชิงเทียน, เครื่องเทศ, ร้านขายของเก่า และอื่นๆ อีกมากมาย
Recommend : ร้าน Nurs-Et ร้านสเต็กชื่อดังของเซฟดังที่มีท่าโรยเกลือสุดคลู อย่าง Saltbae ที่นี่มีเมนูให้เลือกทานหลา กหลาย แต่ราคาสเต็กอยู่ที่ประมาณ 230 - 600t (ประมาณ 1,200 - 3,000 บาท) ถึงราคาจะดูสูงไปนิด แต่เอาหัวเป็นประกันเลยว่าอร่อยจริงๆ สเต็กเนื้อนุ่ม แค่นึกภาพน้ำไหลก็ไหลแล้ว |
Day 6 Istanbul - Bangkok
ก่อนกลับไทย เราก็มาลุยเที่ยวในอิสตันบูลกันอีกวัน วันนี้เราจะแพลนจะไปที่
สุเหร่าสีน้ำเงิน (Blue Mosque) หรือ”บลูมอสก์”เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาที่มีความงดงามอย่างมาก ได้รับชื่อนี้เพราะกระเบื้อ งด้านบนสุดของสุเหร่าเป็นสีน้ำเงินเข้ม ดูเป็นเอกลักษณ์มากๆ การตกแต่งภายในดูหรูหราสุดๆ ภายในออกแบบด้วยกระเบื้องอิซนิคบนกำแพงชั้นในสีฟ้าสดใส เป็นลายดอกไม้ทั้งอาคาร มีหอมินาเร็ตหรือหอสวดมนต์ 7 หอ การจัดวางพื้นที่ของอาคารต่างๆ ถูกจัดวางเป็นรูปตัวยูได้อย่างสวยงาม
มาที่ สุเหร่าสีน้ำเงินต้องแต่งกายให้สุภาพด้วยน้า ผู้ชายต้องใส่กางเกงขายาว ส่วนสาวๆต้องใส่กางเกงขายาว ไม่ก็ต้องใส่กระโปรงยาว ที่สำคัญต้องเตรียมผ้าคลุมผมไว้สำหรับคลุมศีรษะระหว่างเที่ยวชมด้วย
มาต่อที่สุดท้ายก่อนพักทานข้าว ไปที่สุเหร่าเซนต์โซเฟีย (Mosque of Hagia Sophia) แต่เดิมที่นี่เป็นโบถส์คริตสนานิกายออร์โธดอกส์ ต่อมาถูกเปลี่นเป็นสุดหร่า แต่ปัจจุบันได้ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ ชื่อเป็นพิพิธภัณฑ์ฮาเยียโซเฟีย (Ayasofya Museum) ถือว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งในอิลตันบูล และยังเป็นสถานที่สำคัญของวงการศิลปะของโลกอีกด้วย แถมที่นี่ยังเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ที่นี่หยุดทุกวันจันทร์นะคะ
การตกแต่งภายในถูกตกแต่งด้วยหินอ่อน ภาพของพระเยซู จอนห์ผู้ล้างบาป พระแม่มารี รวมถึงจักรพรรดิแห่งดินีโซและพระสวามี คอนสแตนตินที่ 9 โมโนมาคุส นอกจากนี้กลางห้องโถงของวิหารสุเหร่าโซเฟียยังเป็นที่ตั้งบัลลังก์เก่าจักรพรรดิอีกด้วยนะ ค่าเข้าท่านละ 60 TL หรือเงินไทยประมาณ 305 บาท
ไปต่อที่พระราชวังทอปกาปี (Topkapi Palace) หรือที่รู้จักกันในชื่อวังสุลต่าน เป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอินของเมืองอิสตันบูลใช้เป็นที่ประทับของสุลต่าน หลายพระองค์ต่อกันมาหลายศตวรรษ โดยมีทั้งหมด 3 ส่วนคือ พระราชวังชั้นนอก เป็นสวนขนาดใหญ่ที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ร่มรื่น น่าเดินเล่นมากๆเลย มีอาคารสไตล์ตุรกีดั้งเดิมที่ยังคงสภาพเดิมไว้อย่างดีสุดๆ ใช้เป็นสถานที่ออกว่าราชการ และต้อนรับแขกคนสำคัญของเมือง
ในปัจจุบันนี้พระราชวังทอปกาปี เป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติสำหรับจัดแสดงสมบัติอันล้ำค่าของสุลต่านองค์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโบราณวัตถุอันศักดิ์สิทธิ์ อาวุธในสมัยออตโตมันน์ เช่น ดาบ ปืน ธนู กระบี่ ขวาน ชุดเกราะ และเครื่องราชบรรณาการจากทั่วโลกเลยแหละ ค่าเข้าคนละ 72 TL เงินไทยก็ประมาณ 365 บาทจ้า
ได้เวลากลับบ้านแล้วสิ เดินทางกลับไทย ที่ท่าอากาศยานอตาเติร์ก เมืองอิสตันบูล ด้วยสายการบิน Turkish Airlines
ลาก่อนดินแดนในฝัน ไว้เจอกันใหม่นะตุรกี